สรุปผล : ( ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ) แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1 – 2 ลิเวอร์พูล10 เมษายน พ.ศ.2561

ฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีม นัดสอง

วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ.2561

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (อังกฤษ) 1 – 2 ลิเวอร์พูล (อังกฤษ)
Manchester City (England) 1 – 2 Liverpool (England)

(รวมสองนัด ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบรองฯด้วยประตูรวม 5-1)

 

สนาม : เอติฮัด สเตเดี้ยม

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เกมแรกบุกไปพ่ายมาก่อนถึง 0-3 แถมล่าสุดชวดฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีกหลังพ่ายใน เอดิฮัด สเตเดี้ยม หนแรกในรอบ 27 เกมให้แก่อริร่วมเมือง “ปีศาจแดง” แมนฯยูไนเต็ด 2-3 เกมนี้ไม่มีทางเลือกต้องลุยแหลกทวงประตูคืน

อย่างเดียว แนวรุก เซร์คิโอ อเกวโร่ “กุน” เป็นแค่สำรองส่ง กาเบรียล เชซุส หน้าเป้าโดยมีแนวรุกสนับสนุนทั้ง ราฮีม สเตอร์ลิง, แบร์นาโด้ ซิลวา, ดาบิด ซิลบา, ลีรอย ซาเน่ และเควิน เดอ บรอยน์

ส่วนฝั่ง “หงส์แดง” ของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เกมนี้ไร้แค่ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่ติดโทษแบน ส่วน เอมเร่ ชาน เจ็บยาว ทำให้ จอร์จินโย่ ไวนัลดุม และเจมส์ มิลเนอร์ ลงคุมแดนกลางร่วมกับ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน โดยมีสามแนวรุกหน้า

ประจำอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และซาดิโอ มาเน่

เปิดฉากมาแค่ 2 นาที แฟนเรือใบสีฟ้าได้เฮลั่นกันทั้งสนาม เมื่อ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ โดน สเตอร์ลิง วิ่งมากดดันจนเปิดบอลพลาด แฟร์นันดินโญ่ แทงบอลทะลุแนวรับทีมเยือนถึง สเตอร์ลิง ก่อนอดีตปีกหงส์แดงจะปาดเข้ากลางให้ กาเบรียล เชซุส

วิ่งมายิงเสาแรกเข้าไป แมนฯ ซิตี้ ขึ้นนำ 1-0

นาที 14 ประวัติศาสตร์เกือบซ้ำรอยเหมือนเกมพรีเมียร์ลีกที่สนามแห่งนี้ ซาดิโอ มาเน่ ล้มตัวสไลด์เข้าช้าไปที่ลำตัวของ นิโกลัส โอตาเมนดี้ ทำเอา เอแดร์ซอน โจทก์เก่าถึงกับเข้ามาเอาเรื่อง ปรากฏว่า มาเน่ กับ เอแดร์ซอน รับใบเหลืองไปทั้งคู่

รูปเกมเป็นซิตี้ที่พับสนามบุกแหลกอยู่ข้างเดียว จังหวะนี้ แบร์นาร์โด้ ซิลวา ได้บอลทางขวาแล้วตบกลับมาหน้าเขตโทษให้ เควิน เดอ บรอยน์ ยิงไม่ผ่านมือ ลอริส คาริอุส นาที 27

โอกาสของทีมเรือใบสีฟ้าอีกครั้งในนาที 39 เป็นบอลโยนยาวเข้าเขตโทษด้านขวามาให้ แบร์นาร์โด้ เอาลงได้แล้วล็อกหนี แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน มายิงด้วยซ้ายติดไซด์ก้อยออกเสาสองไป

สองนาทีต่อมา ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า น่าได้ลูกที่สองอย่างยิ่ง เป็น แบร์นาร์โด้ อีกแล้วที่ได้แต่งเข้าซ้ายยิงเต็มข้อลักษณะเดิม ลูกแฉลบหัว เดยัน ลอฟเรน ไปชนเสาอย่างน่าเสียดาย

เจ้าถิ่นส่งบอลกระทบตาข่ายได้อีกหนนาที 42 จากลูกเปิดเข้ามาทางซ้าย คาริอุส ออกมาชกบอลไม่ดี ลูกเด้งไปเข้าทาง ลีรอย ซาเน่ ยิงไม่เหลือ แต่ผู้ตัดสินเป่าเป็นล้ำหน้าของ ซาเน่ ไปก่อน เลยไม่ได้ประตู

นาที 45 ทีมเยือนได้ลุ้นบ้าง จากการโต้กลับขึ้นมา โม ซาลาห์ ได้บอลในเขตโทษด้านขวาแล้วจ่ายให้ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-เชมเบอร์เลน แตะหนี เอแดร์ซอน ไปแล้วแต่ดันยิงข้ามคานน่าผิดหวัง หมดครึ่งแรกที่สกอร์แมนฯ ซิตี้นำ 1-0 พวกเขายังต้องการ

อีก 2 ประตูโดยที่ห้ามเสีย

ครึ่งหลังเริ่ม ปรากฏว่ามีการไล่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ขึ้นไปบนอัฒจรรย์คนดูเป็นที่เรียบร้อย หลังจากกุนซือชาวสแปนิชไปประท้วงผู้ตัดสินอย่างรุนแรงในครึ่งแรก ถึงลูกที่ทีมไม่ได้ประตู

ลิเวอร์พูลตีเสมอเป็น 1-1 นาทีที่ 56 เป็นจังหวะโต้ขึ้นมาทาง ซาลาห์ จิ้มต่อให้ มาเน่ เกี่ยวเข้าเขตโทษไปติดมือ เอแดร์ซอน ที่ออกมารวบได้เร็ว แต่ไม่สามารถรับบอลเข้ามือได้ และเป็น ซาลาห์ ปรี่เข้ามาถึงลูกก่อนแตะหนี เอแดร์ซอน แล้วชิพด้วยซ้ายข้าม โอตาเมนดี้ เข้าไปซุกก้นตาข่ายอย่างเยี่ยมยอด ถึงตอนนี้ซิตี้งานงอกต้องยิงอีก 4 ลูกเพื่อเข้ารอบ

ทีมเรือใบสีฟ้ายังครองบอลบุก พร้อมทั้งส่ง เซร์คิโอ อเกวโร่ “กุน” ที่เพิ่งหายเจ็บลงมา และในนาที 70 บอลมาที่ เอเมริก ลาป๊อร์กต์ ยิงด้วยซ้ายหน้าเขตโทษแฉลบหัว ลอฟเรน หลุดเสาแรกนิดเดียว

นาที 77 หงส์แดงแซงนำ 2-1 เมื่อ คายล์ วอลเกอร์ พลาดเตะบอลไปติด โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ หอกบราซิเลี่ยนจึงลากเข้าเขตโทษด้านซ้ายไปแปด้วยขวาเสียบเสาสองนิ่มๆ

จากนั้นไม่มีประตูเพิ่มแล้ว จบเกม ลิเวอร์พูลชนะแมนฯ ซิตี้ 2-1 ย้ำชัยนัดที่สอง สกอร์รวม 5-1ส่งผลให้ “หงส์แดง” ทะลุเข้าไปเล่นในรอบตัดเชือกในรอบ 10 ปี

โดยจะมีการจับสลากประกบคู่ในรอบรองชนะเลิศ วันศุกร์ที่ 13 เม.ย.นี้ ที่เมืองนียง ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เริ่มเวลา 18.00 น. (ตามเวลาประเทศไทย)

รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม

แมนฯ ซิตี้ (3-2-4-1) : เอแดร์ซอน โมราเอส – ไคล์ วอล์คเกอร์, นิโกลัส โอตาเมนดี้, เอมเมอริค ลาป๊อร์กต์ – เควิน เดอ บรอยน์, แฟร์นันดินโญ่ – ราฮีม สเตอร์ลิง, แบร์นาโด้ ซิลวา, ดาบิด ซิลบา, ลีรอย ซาเน่ – กาเบรียล เชซุส

สำรอง : เคลาดิโอ บราโว่, แว็งซ็องต์ ก็องปานี, อิลคาย กุนโดกัน, เซร์คิโอ อเกวโร่ “กุน”, เฟเบียน เดลฟ์, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้, ฟิล โฟเด้น

เทรนเนอร์ : เป๊ป กวาร์ดิโอล่า

ลิเวอร์พูล (4-3-3) : ลอริส คาริอุส – เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, เดยัน ลอฟเรน, เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน – อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, จอร์จินโย่ ไวนัลดุม, เจมส์ มิลเนอร์ – โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ซาดิโอ
มาเน่

สำรอง : ซิมง มินโญเล่ต์, เนธาเนี่ยล คลายน์, รักนาร์ คลาวาน, อัลเบร์โต้ โมเรโน่, แดนนี่ อิงส์, โดมินิค โซลังกี้, เบ็น วู้ดเบิร์น

เทรนเนอร์ : เจอร์เก้น คล็อปป์

ผู้ตัดสิน : อันโตนิโอ มาเตว ลาออซ (สเปน)


ที่มา :Siamsport

บทวิเคราะห์อื่นที่น่าสนใจ