ไขความลับนกใหญ่พิฆาตกับ เดนนิส อมาโต

ไขเบื้องหลังความสำเร็จของ นกใหญ่พิฆาต ไปกับอดีตกุนซือหนุ่มวัย 37 ปีอย่าง เดนนิส อมาโต ผู้ที่เชื่อว่า “ฟุตบอลไม่มีคำว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ มีแค่นักเตะที่ดี

ภายหลัง 1 ปีที่อยากลืมของ “นกใหญ่พิฆาต” ชัยนาท ฮอร์นบิล พวกเขาสามารถกลับโบยบินคืนสู่จุดเดิม บนลีกสูงสุด จากการแซงคู่แข่งตัวฉกาจอย่าง แอร์ฟอร์ซ เซ็นทรัล เข้าป้ายสู่ตำแหน่งแชมป์ M-150 แชมเปียนชิพ ได้สำเร็จในช่วงท้ายฤดูกาล

แม้จะไม่เรื่องที่เกินคาดหมาย แต่หากสำรวจลงไปในรายละเอียดจะพบว่า ซีซั่นนี้ เจ้าของแชมป์ไทยลีก 2 ทีมล่าสุด มีการเปลี่ยนแปลงสโมสรมากพอสมควร ไล่ตั้งแต่การถ่ายเลือดนักเตะดังหลายราย ออกจากทีม และผลักดันเยาวชนหลายรายขึ้นมาเล่น รวมถึงงบประมาณที่ลดลงพอสมควร ที่สำคัญพวกเขาไม่ใช่ทีมที่ทุ่มเงินมากนัก หากเทียบกับหลายๆทีมสโมสรใน ไทยลีก 2

“เดนนิส อมาโต” คือหนึ่งในกุญแจสำคัญของ ชัยนาท ฮอร์นบิล…จากนักเตะที่โชคร้าย สู่จ๊อบแรกบนแผ่นดินสยาม ด้วยการพา เยาวชนไทย ไปคว้าอันดับ 3 ของโลก ในทัวร์นาเมนต์ เอฟซี บาเยิร์น ยูธ คัพ … ก่อนจะได้มาพิสูจน์ฝีมือ กับสโมสรอาชีพในไทยครั้งแรก และประสบความสำเร็จได้ในทันที

ยินดีด้วย เดนนิส กับตำแหน่งแชมป์ ถามจริงๆ ตอนที่ตามหลัง แอร์ฟอร์ซฯ เคยคิดว่า ชัยนาท จะแซงคว้าแชมป์ได้หรือไม่?

เอาจริงๆนะ เราไม่เคยคิดเลยว่าจะได้แชมป์ (หัวเราะ) เพราะเป้าหมายตั้งแต่เปิดฤดูกาลคือติดหนึ่งในสาม เพื่อที่จะเลื่อนชั้นสู่ไทยลีกให้ได้ ดังนั้น การที่เราคว้าแชมป์มาได้ จึงเป็นอะไรที่เกินคาด

สำหรับคู่แข่งอย่าง แอร์ฟอร์ซฯ พวกเขาเป็นงบทำทีมน้อย เหมือนกับเรา แต่พวกเขาเป็นทีมที่ดีมากๆ การชนะ 12 เกมรวด นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยนะครับ แต่ผมก็แอบดีใจนะที่เป็นทีมเรา ที่หยุดสถิติของพวกเขาลง (หัวเราะ)  อย่างไรก็ตาม ต้องยกเครดิตให้ลูกทีมของผมด้วยเช่นกัน พวกเขามีสปิริตที่ดีมากๆ ช่วยกันจนเราประสบความสำเร็จ

แต่หลายคนยังไม่รู้ว่า ความตั้งใจแรก คุณไม่ได้มาเมืองไทยเพื่อเป็น โค้ชทีมแชมป์ไทยลีก 2

ใช่ครับ ตอนแรกที่มา ผมไม่ได้จะคุมทีมชัยนาท แต่บริษัทของผม (Sport Thai Bavaria) และ วังขนาย เป็นพาร์ทเนอร์กัน ซึ่งทางวังขนายมีโปรเจ็คใหญ่กับทางสโมสรบาเยิร์น มิวนิค ซึ่งผมก็ได้เข้ามาเกี่ยวข้องในตรงนี้

ก่อนหน้านี้ ผมทำโปรเจกต์ ที่หาเยาวชนไทยมาฝึกสอนฟุตบอล และส่งไปแข่งขันในทัวร์นาเมนต์ เอฟซี บาเยิร์น ยูธ คัพ ซึ่งทุกวันนี้ผมก็ยังทำได้อยู่ แน่นอนมันเป็นประสบการณ์ที่ดี ในประเทศแปลกใหม่ ผมจำเด็กๆทุกคนได้ พวกนักเตะรุ่นแรกอย่าง บุ๊ค (เอกณิษฐ์ ปัญญา) เต้ย (ณัฐวุฒิ ชูติวัตร) แระห์ (กฤษดา กาแมน) ตอนนี้พวกเขาเป็นตัวหลักของทีมชาติไทย U19 ไปแล้ว รวมถึง ม่อนด้วย (สุธิพงศ์ พิศาลทรัพย์)

ผมอยากบอกพวกเขาว่า ผมยังเฝ้าดูผลงานของเด็กๆในโปรเจ็คเรามาโดยตลอด บางคนยังโทรมาถามคำแนะนำจากผมอยู่เลย (หัวเราะ) เรามีนักเตะดีๆหลายคนเลย อย่าง บุ๊ค  ตอนนี้ก็เล่นให้กับ เชียงราย ส่วน แระห์ ที่เล่นให้กับชลบุรี มีข่าวว่าจะได้ไปทดสอบฝีเท้าที่ญี่ปุ่น  ผมว่าเขาเป็นหนึ่งในแบ็กซ้ายพรสวรรค์คนหนึ่งเลยละ นักเตะคนนี้น่าจับตามองมาก

เอาเป็นว่า ผมดีใจกับทุกๆคนด้วยที่ตอนนี้ ก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักให้กับ ทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 19 ปี เพราะนี่ก็คือจุดประสงค์ของโปรเจ็คที่เราทำ

เวลาเห็นเด็กๆชุดนี้ใส่เสื้อทีมชาติแล้วรู้สึกยังไง ?

ผมภูมิใจมาก ที่พวกเขาประสบความสำเร็จ พวกเขาเรียนรู้ได้ดี นำหลายๆอย่างจากโครงการไปปรับใช้ ผมภูมิใจในตัวพวกเขามากครับ

แล้วจาก Sport Thai Bavaria มาเป็นโค้ชของ ชัยนาท ฮอร์นบิล ได้อย่างไร?

วังขนาย เป็นสปอนเซอร์หลักและยังเป็นเจ้าของทีมร่วมอีกด้วย พอชัยนาทตกชั้นมาเล่นในไทยลีก 2 ทางวังขนายก็อยากเปลี่ยนแปลงทีมและสร้างทีมขึ้นมาใหม่อีกครั้ง วังขนายเลยจ้างบริษัทของผมเข้ามาดูแลระบบทุกอย่างของทีม ที่จริงผมเป็นผู้อำนวยการกีฬา (Sport Director) ของทีม แต่ช่วงที่เรามีการเปลี่ยนแปลงโค้ช (นพ.บียอร์น คลีม) เรายังไม่มีคนที่เหมาะสม สุดท้ายลงเอยด้วยการที่ ผมเป็นเฮดโค้ชของทีมซะเอง

คุณเป็นโค้ชที่อายุน้อยมาก เริ่มสนใจงานด้านนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อย

ใช่ครับ ผมเริ่มเป็นโค้ชตั้งแต่อายุประมาณ 27-28 ปี ทุกอย่างมันเริ่มจากที่ผมโชคไม่ดี ต้องเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพตั้งแต่อายุ 21 เพราะอาการบาดเจ็บที่หลัง

ตอนนั้นมีความคิดว่า ผมจะทำอะไรต่อดี สุดท้าย ผมตัดสินใจเล่นในลีกล่างๆของเยอรมัน เพราะไม่ต้องใช้ร่างกายเยอะ เหมือนเป็นงานอดิเรกมากกว่า เพราะตอนนั้นผมทำงานกับหนังสือพิมพ์กีฬา (ทำงานฝ่ายโฆษณาและการตลาด) ควบคู่ไปด้วย แต่ในท้ายที่สุดแล้ว อาการบาดเจ็บที่หลังก็หนักขึ้น จนทำให้ผมต้องเลิกเล่นฟุตบอลจริงๆ ตอนนั้นรู้สึกหงุดหงิดตัวเองอยู่เหมือนกัน ทั้งที่อยากเล่นฟุตบอลใจจะขาด แต่ร่างกายไม่เอื้ออำนวยแล้ว

หลังจากเลิกเล่นฟุตบอลไปตอนอายุ 26 ผมไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับวงการลูกหนังเลยเป็นเวลา 1 ปีเต็ม ตอนนั้น ผมโคตรคิดถึงเกมฟุตบอลมาก จนโค้ชเก่าของผม แนะนำให้ไปลงคอร์สเรียนโค้ช ผมก็ไปนะ และมีลองคุมทีมบ้าง แต่ไม่ได้จริงจังอะไรมาก

จนเวลาผ่านไปเกือบปี ผมเริ่มสนุกและชอบงานโค้ช ผมคิดว่าผมสามารถทำมันได้ดี ผมเริ่มจริงจังมากขึ้น มีไปสอบไลเซนส์ต่างๆ คุมทีมเยาวชนบ้าง และขยับรุ่นอายุขึ้นมาเรื่อยๆ จนมีทีมยื่นสัญญาให้ผมทำทีมในที่สุด

ผมมีความสุขมากที่ได้กลับมเข้ามาในวงการฟุตบอลอีกครั้ง อาจจะไม่ใช่ในฐานะผู้เล่น แต่การเป็นโค้ช ผมพยายามถ่ายทอดประสบการณ์ที่ผมผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วให้กับนักเตะในทีม อย่างน้อย พวกเขาจะได้ไม่ทำพลาดเหมือนกับที่ผมพลาด ตอนนี้ผมก็มีความสุขมากกับการเป็นโค้ช

งั้นลองยกตัวอย่างสักเหตุการณ์ที่คุณพลาดสมัยเป็นนักเตะ

ตอนผมอายุ 17 ผมเป็นดาวรุ่งที่ขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ของทีมจากอคาเดมี่ สำหรับเด็กทุกคน นี่คือก้าวที่สำคัญมากๆ แต่ด้วยความที่ยังเด็กมาก ผมเลยไม่ได้รับโอกาสและความไว้วางใจจากโค้ช ผมเลยต้องอยู่บนม้านั่งสำรองนานอยู่เหมือนกัน

จนวันหนึ่ง ผมต้องขอให้สโมสรปล่อยผมให้ทีมอื่นๆยืมตัวไปใช้งาน เพราะผมอยากเล่นฟุตบอล คุณลองนึกดูสิ คุณซ้อมทุกวันๆ และคิดว่าตัวเองดีพอที่จะลงเล่น แต่ก็ไม่ได้ลง บางครั้งอาจจะมีท้อแท้บ้าง แต่ผมก็ไม่เคยยอมแพ้นะ ผมตั้งหน้าตั้งตาฝึกซ้อม จนวันหนึ่ง โค้ชเริ่มไว้ใจผม และเริ่มมีโอกาสในสนาม

ทุกวันนี้ บทเรียนในเหตุการณ์นี้เป็นหนึ่งในปรัชญาการคุมทีมของผมเลยละ ในฐานะที่เคยเป็นนักเตะที่โค้ชไม่เชื่อใจ ผมจะเข้าใจผู้เล่นที่ไม่ค่อยได้ลงมาก ดังนั้น ผมจะไม่ทำให้นักเตะรู้สึกว่า ผมไม่ไว้ใจพวกเขา เพราะถ้าคุณไม่เชื่อในลูกทีมของคุณเอง พวกเขาก็จะไม่มีความเชื่อมั่นให้กับคุณ และพวกเขาจะไม่มีวันลงไปเล่นแบบ 100% เต็มแน่นอน

ช่วงแรกๆที่รับงานคุมทีม ผลงานของทีมไม่ค่อยดี และทีมมีการเปลี่ยนโค้ชค่อนข้างเร็ว ตอนนั้นกดดันบ้างหรือเปล่า?

หลังจากที่เราเปลี่ยนโค้ช ผมก็ลงมาคุมทีมชั่วคราวก่อน จนกว่าเราจะหาโค้ชได้ ช่วงแรกๆ ก็กดดันบ้าง แต่ความกดดันมันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับฟุตบอล และในฐานะโค้ช คุณต้องรับมือกับในให้ได้ ถ้าคุณชนะ ประสบความสำเร็จ ทุกคนก็มีความสุข แต่วันไหนแพ้ขึ้นมา ล้มเหลว ผู้คนก็จะตั้งคำถาม แต่ไม่ว่าอย่างไร สุดท้าย เราจบด้วยการเป็นแชมป์ลีกของฤดูกาลนี้

ได้ยินมาว่า คุณจริงจังกับการซ้อมมากๆ และตัดสินนักเตะจากการซ้อม?

แน่นอนว่า ผมต้องจริงจังอยู่แล้ว เพราะเราเป็นมืออาชีพ นักเตะหลายคนได้เงินตอบแทนในระดับที่ดีมากๆ ผมคงไม่ปล่อยให้ซ้อมกันแบบสบายๆหรอกนะ อีกอย่าง การซ้อมก็คือ ผลงานในสนาม เหมือนกัน ดังนั้นมันจึงสำคัญมาก

แต่การซ้อมของเราก็ไม่ได้ตึงเครียดกันเกินไป เราพยายามผสมผสานกันระหว่างสไตล์ยุโรปและความเป็นไทยเข้าด้วยกัน เรามีการซ้อมที่สนุกๆ เข้ามาด้วย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะสนุกจนเกินไป ถึงเวลาจริงจัง ทุกคนต้องจริงจังให้ได้ ความสำเร็จของนักกีฬา ล้วนมาจากการซ้อมทั้งนั้น

ผมอยากให้แฟนๆชัยนาทเข้ามาในสนาม แล้วเห็นว่านักเตะของเราเต็มที่ในทุกๆเกม พร้อมกลับออกจากสนามไปด้วยรอยยิ้มกับผลงานที่ดีของทีม

รู้สึกยังไงบ้างที่ร่วมงานกับ นักเตะดังอย่าง ฟลอร็องต์ ซินามา ปงโกลล์ จริงๆแล้วเขาเป็นอย่างไร?

‘โฟล’ (ปงโกลล์) เป็นนักเตะที่ผู้เล่นไทยควรเอาเป็นแบบอย่างที่สุด เขานิสัยดี มีวินัยและจริงจังกับทุกๆเกม และการฝึกซ้อม ไม่ว่าจะสนามซ้อมหรือสนามแข่ง เขาจะเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงมาก เป็นคนเดียวที่ไม่เคยมาซ้อมสายเลย

ที่สำคัญ เขายังเชื่อมั่นมาตลอดว่า เราจะได้แชมป์ เขาเป็นคนเดียวที่คิดแบบนั้น และคอยบอกเพื่อนร่วมทีมเสมอว่า “เราต้องเล่นเพื่อแชมป์นะ” ไม่ใช่แค่เลื่อนชั้น ประสบการณ์ของเขาช่วยทีมได้เยอะมาก คิดย้อนกลับไป ผมดีใจนะที่เขาตัดสินใจอยู่กับทีมต่อหลังจากตกชั้น และเขาคือมืออาชีพอย่างแท้จริง

ปีนี้ชัยนาทใช้ผู้เล่นหน้าใหม่ และดาวรุ่งเยอะมาก ทำไมถึงกล้าใช้ มีวิธีมองอย่างไร?

ในเกมฟุตบอล เรามีแค่สองอย่าง นักเตะที่ดี และ นักเตะที่ไม่ดี ซึ่งผมใช้แค่สองอย่างนี้เป็นตัววัด ไม่ใช่อายุของพวกเขา

ในฤดูกาลนี้ เราไม่มีเงินทำทีมมากนัก เลยต้องใช้นักเตะดาวรุ่ง แต่เราก็ยังมีผู้เล่นมากประสบการณ์คอยประคองทีมอยู่เช่นกัน ทั้ง ฉัตรชัย และ ปงโกลล์ รวมถึง อนุวัต

พูดถึงเรื่องอายุนักเตะ มีอยู่เคสหนึ่ง ตอนที่เรากำลังลุ้นเลื่อนชั้นขึ้นไทยลีก ผมเลือกใช้ ภูฟ้า (ชื่นกรมรักษ์) ผมจำได้ว่า ตอนนั้นทุกคนคิดว่าผมบ้าไปแล้วแน่ๆ (หัวเราะ) ไม่มีใครรู้จักเขา ขนาดทีมงานของผมยังไม่เห็นด้วย  และต่างก็ตั้งคำถามว่าทำไมผมถึงไว้ใจเด็กอายุแค่ 19 ปีในสถานการณ์แบบนั้น

ผมบอกกับ พวกเขาว่า เด็กคนนี้มีของนะ และผมก็จะให้เขาลงเล่นในเกมสำคัญ สุดท้าย เขาก็กลายเป็นคนที่แฟนบอลรู้จัก แต่ผมก็บอกเขาอยู่เสมอว่า ต้องไม่ลืมความลำบากนะว่า มันยากแค่ไหน กว่า แกจะมาถึงจุดนี้ จงตั้งใจฝึกซ้อมต่อไป

เกมไหนที่คิดว่า เป็นเกมที่โชว์ความเป็นชัยนาทมากที่สุด ?

มีหลายเกมเลยละ อย่างเกมที่เปิดบ้านชนะแอร์ฟอร์ซ เป็นอีกเกมที่ผมคิดว่า มีความเป็น ชัยนาท มากที่สุด เพราะก่อนหน้านี้ เราแพ้มาสามเกมติด แน่นอนว่าหลายคนขาดความมั่นใจ แต่นักเตะทุกคนก็ยังสู้เต็มที่ วิ่งตลอด 90 นาที ไม่ยอมแพ้ และกลับมาชนะได้ในที่สุด

ส่วนอีกเกมเป็นเกมที่เปิดบ้านเอาชนะ หนองบัว 4-0 วันนั้นทุกคนเล่นได้ดีมากๆ ตามที่ซ้อม เป็นสไตล์ของทีมชัยนาทที่แท้จริง

จากสไตล์การทำทีมของคุณ คุณมีโค้ชคนไหนที่เป็นไอดอลอยู่หรือเปล่า?

มีสิ (หัวเราะ) ผมมี เป๊ป กวาดิโอล่า เป็นไอดอล เขาฉลาดมาก ไหวพริบดีมากๆ นาทีนี้ไม่มีใครเก่งเกินเขาไปได้แล้ว แต่ที่จริงผมก็ชอบหลายๆคนนะ ทั้ง โจเซ่ มูรินโญ่ และ เจอร์เกน คล็อปป์ แต่ละคนล้วนมีจุดแข็งที่ต่างกันออกไป ถ้าเอาสามคนนี้มารวมกันได้ คุณจะเป็น ซูเปอร์โค้ชเลยละ (หัวเราะ)

ส่วนตัวผม ผมก็ดูจากโค้ชหลายๆคน แล้วนำมาปรับใช้กับปรัชญาและการทำทีมของตัวเอง

ข้อความสุดท้ายที่อยากฝากถึง ชัยนาท ฮอร์นบิล

ขอบคุณสำหรับช่วงเวลาที่ดีกับได้ร่วมงานกันตลอด 1 ปี ชัยนาท จะเป็นความทรงจำที่ดีของผม และผมขออวยพรให้ ชัยนาท ฮอร์นบิล ประสบความสำเร็จต่อไป และโชคดีกับฤดูกาล 2018

บทวิเคราะห์อื่นที่น่าสนใจ